1. Home
  2. ท่องเที่ยว
  3. วิธีเลือกและดื่มเหล้านอกที่ผับแบบมีชั้นเชิง

วิธีเลือกและดื่มเหล้านอกที่ผับแบบมีชั้นเชิง

วิธีเลือกและดื่มเหล้านอกที่ผับแบบมีชั้นเชิง
0
0

เคยใหม? ที่ตอนไปสนามบินแล้วไม่รู้จะซื้อเหล้าอะไรไปเพื่อฝากเพื่อนหรือแม้แต่จะเพื่อดื่มเอง ซึ่งมันน่าเสียดายหากคุณได้โอกาสไปร้านปลอดภาษีหรือ Duty free แล้วคุณนึกไม่ออกว่าควรจะหิ้วเหล้าอะไรกลับไป และนี่คือวิธีเลือกและดื่มเหล้านอกแบบนักดื่มมือโปร ที่คุณสามารถนำไปใช้ได้ทั้งร้าน Duty free ในสนามบิน ในห้างหรือการซื้อเหล้า Online เพื่อจะได้เหล้าที่ถูกใจอย่างแท้จริงไม่ว่าจะเป็นด้านรสชาติ รสนิยมและราคาที่คุ้มค่าสำหรับแบรนด์ดังๆตั้งแต่ Johnnie Walker, Absolut Vodka, Bacardi, Jack Daniels นอกจากนี้เรายังอยากแนะนำวิธีเลือกไวน์ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการซื้อไวน์ที่ Duty free ได้อีกด้วย

 

มาติดตามกันว่านักร้องในตำนานอย่าง Frank Sinatra จะเลือกดื่มเหล้าแบบไหนกัน?

1. Johnnie Walker (จอห์นนี่ วอล์กเกอร์)

เจ้าฉลากแนวเฉียงนี้เป็นแบรนด์เหล้าที่คนไทยรู้จักกันดีอีกทั้งยังได้รับการรับรองจาก Royal Warrant แห่งราชวงศ์อังกฤษ โดย Johnnie Walker มีประวัติมากว่า 200 ปีจากสก๊อตแลนด์ ซึ่งมีการจำหน่ายอย่างกว้างขวาง โดย Johnnie Walker มีชื่อด้านวิสกี้ผสมซึ่งมาจากการผสมของ Malt กับ Grain Whisky (ข้าวยังไม่งอก) หรือเรียกว่า Blended Whisky ซึ่งก็คือหนึ่งในเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลกโดยกลั่นมาจากเมล็ดธัญพืชต่างๆและรับการหมักบ่มเอาไว้ในถังไม้โอ๊ก ซึ่งสก๊อตวิสกี้ของ Johnnie Walker มีขายในเกือบทุกประเทศโดยมียอดขายกว่า 130 ล้านขวดซึ่งถือว่ามียอดขายเยอะที่สุดในโลก

 

Blends หลากหลายแบบของ Johnnie Walker

ว่าแต่ว่าคนเราเราคงคุ้นจากเพื่อนๆที่เป็นคอเหล้าว่า Johnnie Walker มันมีทั้ง Red Label, Black Label จนไปถึง Blue Label แล้วรสชาติกับที่มามันต่างกันอย่างไรล่ะ? วันนี้ Ohlor Guru จะมาไขความกระจ่างให้เราเลือกเหล้าได้ถูกต้องกัน

 

1.1 Johnnie Walker Red Label

Johnnie Walker Red Label น้องเล็กสุดขวดนี้ มีไว้เพื่อการดื่มตลอดค่ำคืน

Johnnie Walker Red Label เรด เลเบิ้ล (80 proof, 40% ABV) ที่โดดเด่นด้วยกลิ่นเครื่องเทศเผ็ดร้อนปะทะจมูก อีกทั้งรสชาติที่จัดจ้านสดใสของบุหรี่แห้งรมควัน เป็นอะไรที่คนไทยที่สุด เพราะเจ้า Johnnie Walker น้องเล็กสุดขวดนี้ มีไว้เพื่อการดื่มตลอดค่ำคืน โดยสูตรนั้นถูกปรุงมาเพื่อวิธีการกินที่ถูกปากคนไทยนั้นโดยต้องผสมกับมิกเซอร์ ทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นโซดาหรือโคล่า มะนาว ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะติดหนึ่งในทำเนียบเหล้าที่ขายดีที่สุดในประเทศไทย

1.2 Johnnie Walker Black Label

รสชาติที่นุ่มละมุนล้ำลึกและสลับซับซ้อนเป็นเอกลักษณ์ของ Black Label

Johnnie Walker Black Label แบล็ค เลเบิ้ล (80 proof, 40% ABV) เป็นวิสกี้ชั้นดีระดับสูงจากการหมักบ่มอย่างยาวนานถึง 12 ปี จากทั่วทั้งสี่ทิศของประเทศสกอตแลนด์เพื่อให้ได้รสชาติที่นุ่มละมุนล้ำลึกและสลับซับซ้อนทำให้มีความคลาสสิกที่สุด ซึ่งวิธีการดื่มที่ถูกต้องนั้นก็ต้องดื่มแบบแมนๆแบบ On The Rock นั่นเอง หรือครั้นจะผสมกับมิกเซอร์ก็สามารถทำได้เหมือนกัน

1.3 Johnnie Walker Green Label

Green Label เหมาะสำหรับการดื่ม On The Rock อย่างละมุนละไม

Johnnie Walker Green Label กรีน เลเบิ้ล (86 proof, 43% ABV) ที่มีจำหน่ายแบบจำกัดประเทศนั้น จะผ่านการหมักมากกว่า 15 ปีด้วย Malt ชนิดเดียวเท่านั้น ซึ่งวิธีกินนั้นนิยมแบบ On The Rock ด้วยหาน้ำแข็งก้อนใหญ่ๆ สักก้อนใส่ในแก้วปากกว้างเพียงแค่ก้อนเดียวและค่อนๆเหล้ากรีน เลเบิ้ล ลงไปโดยไม่ต้องท่วมน้ าแข็ง
หลังจากนั้นให้แกว่งแก้วเล็กน้อยเพื่อให้อุณหภูมิของวิสกี้ชะอุณหภูมิของน้ำแข็งก้อนโต ผสมกับการดมกลิ่นวิสกี้ที่ระเหยขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนที่จะเริ่มดื่มรสวิสกี้ที่อุณหภูมิเย็นพอเหมาะพอดี งานนี้จะได้ รสชาติ กลิ่น และแสงที่วิสกี้ตกกระทบกับก้อนน้ำแข็งชวนมอง

1.4 Johnnie Walker Gold Label

Gold Label เหล้าที่คุณห้ามพลาดสำหรับการดื่มฉลองในโอกาสพิเศษกับเพื่อนๆและคนรักของคุณ

Johnnie Walker Gold Label โกลด์ เลเบิ้ล (80 proof, 40% ABV) จะผ่านการหมักมากกว่า 18 ปีจนได้ขึ้นฉลากว่า “The Centenary blend” ซึ่งสามารถพาคุณไปสัมผัสความหรูหรา ผสานความครีมมี่และความหวานจากน้ำผึ้ง และดื่มด่ำไปกับนาทีแห่งการเฉลิมฉลอง ประดุจดั่งการดื่มผลงานที่ถักทอวิสกี้จากสเปย์ไซด์และไฮแลนด์ไว้ด้วยกันอย่างลงตัว แฝงด้วยกลิ่นถ่านไหม้จางๆด้วยสไตล์วิสกี้จากชายฝั่งตะวันตก ซึ่ง Gold Label เหมาะสำหรับการดื่มฉลองในโอกาสพิเศษกับเพื่อนๆและคนรักของคุณ นอกจากนี้การจิบควรจิบทีละน้อย และหากได้ช๊อกโกแลต มารับประทานด้วยแล้ว ก็จะได้ร้องอ๋อว่าทำไม วิสกี้ขวดนี้จึงสมควรได้รับให้ประดับด้วยฉลากสีทอง

1.5 Johnnie Walker Blue Label

Blue Label ถูกวางจำหน่ายเฉพาะร้านค้าบางแห่งทั่วโลกเท่านั้น ซึ่งวิธีการดื่มวิสกี้ชั้นสูงนี้ก็ต้องมีคลาสมาก

Johnnie Walker Blue Label บลู เลเบิ้ล (80–86 proof, 40–43% ABV) รุ่น limited edition เป็นหนึ่งในวิสกี้ระดับ Premium ที่สุดของ Johnnie Walker ซึ่งมีอายุการหมักอย่างต่ำ 20 ปี เพื่อเป็นเหล้าสำหรับการเฉลิมฉลองเพื่อการเฟ้นหาวิสกี้ชั้นเลิศหายาก ซึ่งกล่องภายนอกออกแบบให้สามารถมองเห็นวิสกี้ที่บรรจุอยู่ภายในได้เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น อีกทั้งภายในประดับกระจกสะท้อนที่ให้สัมผัสหรูหรา ทำให้รุ่น Limited edition นี้น่าสะสมเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการที่มันได้ถูกวางจำหน่ายเฉพาะร้านค้าบางแห่งทั่วโลกเท่านั้น ซึ่งวิธีการดื่มวิสกี้ชั้นสูงนี้ก็ต้องมีคลาสมาก โดยเตรียมแก้วบรั่นดีสวยๆไว้ 2 ใบโดยแก้วนึงรินวิสกี้รอไว้ ส่วนอีกแก้วนึงรินน้าแร่เย็นๆไว้เพื่อปรับอุณหภูมิในช่องปากกันก่อน จากนั้นก็จิบเจ้า Blue Label ในแก้วใบแรกผสมกับน้ำาแร่เย็นๆที่หลงเหลืออยู่ในปากโดยรสชาติที่ล้ำเลิศของมันจะซึมผ่านเพดานปากเพื่อพานักดื่มเหล้าทั้งหลายล่องลอยไปกับความหอมหวานของมัน

2. Jack Daniel (แจ็ค แดเนียล)

Jack Daniels เป็นที่นิยมขอแฟนพันธุ์แท้วิสกี้นั้นก็เพราะว่าวิสกี้นี้มันยึดติดอยู่กับเรื่องราววัฒนธรรมอเมริกันและเป็นสัญลักษณ์ของอเมริกันอย่างแท้จริง

Jack Daniel Tennessee Whiskey (แจ๊ค แดเนียลส์ เทนเนสซี่ วิสกี้) คือ วิสกี้เพียง 1 เดียวจากประเทศสหรัฐอเมริกาที่ได้รับความนิยมจากคนไทยและนักดื่มทั่วโลกที่นิยมการดื่มแบบ On The Rock โดยเฉพาะการเป็นเหล้าประจำตัวของนักดนตรีดังระดับโลกอย่าง Frank Sinatar ที่แม้แต่เมื่อตายไปแล้วก็ได้กอดเหล้า Jack Daniel’s Old Number 7 ไปกับหลุมศพของเขาด้วย รวมไปถึงวงดนตรีร็อคในตำนานอย่าง Van Halen เช่นกัน ซึ่งนอกจากจะมีประวัติศาสตร์อันยาวนานมาเป็นเกือบ 200 ปี ซึ่งในแต่ละปีจะมีนักดื่มและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกไปเยี่ยมชมกระบวนการผลิตที่โรงกลั่นในอเมริกาเพื่อค้นหาคำตอบของรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ของ ทั้งนี้สาเหตุที่แจ๊ค แดเนียลส์ เป็นที่นิยมขอแฟนพันธุ์แท้วิสกี้นั้นก็เพราะว่าวิสกี้นี้มันยึดติดอยู่กับเรื่องราววัฒนธรรมอเมริกันและเป็นสัญลักษณ์ของอเมริกันอย่างแท้จริง และตัวสินค้าเองก็ได้รับความชื่นชมในความความสม่ำเสมอในด้านคุณภาพและภาพลักษณ์จนไปถึงประเพณีที่สืบทอดต่อกันมาจนถึงวันนี้

Frank Sinatar ที่แม้แต่เมื่อตายไปแล้วก็ได้กอดเหล้า Jack Daniel’s Old Number 7 ไปกับหลุมศพของเขาด้วย

ปัจจุบันวิสกี้ในตระกูลแจ๊ค แดเนียลส์ ที่นิยมและโด่งดังมีดังนี้

  • Old No. 7: หรือที่รู้จักในนาม Black Label, เป็นหนึ่งในต้นตำรับของ Jack Daniel’s (80 proof/40% ABV)
  • Gentleman Jack: มีสูตรเหมือน Old No.7 แต่ว่าใช้ Charcoal filtered 2 ขั้น (80 proof/40% ABV).
  • Single Barrel: ใช้ Whiskey จาก single barrel เดี่ยวๆ (94 proof/47% ABV).
  • Tennessee Honey: Honey liqueur blended ที่มี whiskey ต่ำกว่า 20%  (70 proof/35% ABV).
  • Tennessee Fire: Cinnamon liqueur blended ที่มี whiskey ต่ำกว่า 20% (70 proof/35% ABV).
  • Green Label: A lighter-bodied bottling of Old No. 7, ซึ่งกลายเป็นเหล้าหายากไปแล้ว (80 proof/40% ABV).
  • Silver Select: สำหรับการส่งออกเท่านั้น (100 proof/50% ABV).
  • Winter Jack: เป็นการผสมระหว่าง apple cider liqueur และ spices (30 proof/15% ABV).
  • No. 27 Gold: ผลิตออกมาจำนวนจำกัดมาก (80 proof/40% ABV)
  • Sinatra Select: ผลิตออกมาเพื่อยกย่อง Frank Sinatra โดยเฉพาะ (90 proof / 45% ABV)
  • Sinatra Century: ผลิตออกมาเพื่อฉลองวันเกิด 100 ปีของ Frank Sinatra และมีจำนวนจำกัด (100 proof / 50% ABV)
  • Single Barrel Barrel Proof (125 – 140 proof / 62.5 – 70% ABV)
  • Single Barrel Rye: เพิ่งออกมาในปี 2016 และเป็นเหล้าตัวแรกของ Jack Daniels ที่เป็นแบบ fully matured rye whiskey (94 proof/47% ABV)

3. Absolut Vodka (แอบโซลูท วอดกา)

เป็นวอดกาที่มีต้นกำเนิดจาก Åhus จากประเทศสวีเดนตอนใต้ โดยปัจจุบันถูกซื้อกิจการไปโดยบริษัทจากประเทศฝรั่งเศสไปกว่า €5.63 billionเมื่อปี 2008 โดยวิธีการดื่มว๊อดก้าที่นิยมนั้นคือดื่มแบบเย็นจัดซึ่งต้องนำไปแช่เย็นในช่องฟรีสเสียก่อน (เพราะ Vodka แช่ช่องฟรีสแล้วไม่แข็ง) ดังนั้นจะเห็นได้ว่า Vodka นั้นเน้นความเท่ในการดื่มมากกว่ารสชาติ ซึ่งหาก Jack Daniel เป็นเหล้าประจำนักดนตรีที่เน้นรสชาติในการดื่มแล้ว เจ้า Absolut Vodka นี้ก็เป็นตัวแทนของเหล่าจิตรกรชื่อดังที่เน้นความคูลในการดื่มไม่ว่าจะเป็น Andy Warhol, Keith Haring หรือแฟชั่นดีไซเนอร์ระดับโลกอย่าง Versace, Tom Ford, Stella McCartney และ Jean-Paul Gaultier ที่เข้ามาร่วมรังสรรค์แคมเป็ญการตลาดให้กับ Absolut Vodka อย่างต่อเนื่อง ซึ่งวอดกาที่สวยงามหลายๆรุ่นนั้นมาจากแรงบันดาลใจที่มาจากขวดยาโบราณของสวีเดน

Vodka จริงๆนั้นเป็น Neutral Spirt (นิวโทรล์ สปิริต) หรือสุราที่มีความเป็นกลางซึ่งนั่นหมายความว่ามันจะไม่มีกลิ่น ไม่มีสี และ ไม่มีรส ดังนั้น Vodka เป็นเหล้าที่ใช้ผสมที่ดีที่สุด

ทั้งนี้ Vodka มีต้นกำเนิดในแถบยุโรปตะวันออกในแถวละแวกรัสเซียและโปแลนด์  และ Vodka จริงๆนั้นเป็น Neutral Spirt (นิวโทรล์ สปิริต) หรือสุราที่มีความเป็นกลางซึ่งนั่นหมายความว่ามันจะไม่มีกลิ่น ไม่มีสี และ ไม่มีรส ดังนั้น Vodka เป็นเหล้าที่ใช้ผสมที่ดีที่สุดและมักนิยมที่จะใช้ผสมกับวัตถุดิบอย่างอื่นเช่นผลไม้หรือสุราชนิดดื่น เป็นต้น อีกทั้งได้รับการพิสูจน์แล้วว่า เมื่อดื่มแล้ว มักทำให้เกิดอาการเมาค้างในวันรุ่งขึ้นได้น้อยที่สุดเมื่อเทียบกับสุราหลายๆชนิดด้วยกัน โดยในปัจจุบัน Vodka มีความหลากหลายมากขึ้น โดยบางรุ่นก็ได้ผสมรสชาติผลไม้ไว้ในเหล้าเลย ไม่ว่าจะเป็น มะม่วง ราสเบอร์รี่ พีช เป็นต้น

การออกแบบและรสชาติที่หลากหลายของ Absolut Vodka ที่ทำให้สามารถครองใจนักดื่มความเทห์ทั้งหลายแหล่

 

4. Bacardi (บาคาร์ดี)

ไม่มีสามารถอะไรที่หยุดยั้งจิตวิญญาณอันแรงกล้าแม้ว่าจะเป็นไฟไหม้จนไปถึงการปฏิวัติ

Barcardi (บาคาร์ดี) ก่อตั้งโดย Don Facundo Bacardi (ดอน ฟาคุนโด บาคาร์ดี) มาสโซ เมื่อปีค.ศ.1862 ที่เมืองซานติอาโก เดอ คิวบา และมีเหล้ารัมรสชาติที่มีสัมผัสนุ่มละมุนลิ้นเป็นเอกลักษณ์ขึ้นชื่อเฉพาะตัว โดยเฉพาะเรื่องราวน่าทึ่งมากมายมาในตลอดระยะเวลากว่า 150 ปีที่ผ่านมาของบริษัท ตั้งแต่ปีแรกๆที่ก่อตั้งที่ตระกูลบาคาร์ดีต้องประสบกับเหตุแผ่นดินไหว ไฟไหม้ การห้ามจำหน่ายสุรา และการปฏิวัติจนไปถึงการพลัดถิ่น แต่ก็ไม่มีสามารถอะไรที่หยุดยั้งจิตวิญญาณอันแรงกล้าของบาคาร์ดีได้

 

4.1 Bacardi Black (บาคาร์ดี แบล็ค)

Bacardi Black

เป็นเหล้ารัมที่เริ่มต้นผลิตตั้งแต่ปี คศ. 1862 ในช่วงแรกของบริษัทบาคาร์ดีจนถึงในปัจจุบัน และเป็นที่รู้จักกันดีสำหรับคนไทยและทั่วโลก เพราะมีวางจำหน่ายทั่วโลก โดยมีกลิ่นหอมเย้ายวนชวนดื่มและกลมกล่อม ซึ่งมีปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ประมาณ 37-40%  และบิดาผู้คิดค้นให้กำเนิดเหล้าที่นิยมอันนี้ก็คือ ดอน ฟาคุนโด บาคาร์ดีนั่นเอง

4.2 Bacardi Oakheart (บาคาร์ดี โอ๊คฮาร์ท)

Bacardi Oakheart

เหล้า Bacardi Oakheart เป็นเหล้ารัม Spiced ที่มีอายุการหมักบ่ม 1-2 ปี โดยใช้กระบวนการกรองแบบเสถียร หมักบ่มในถังไม้โอ๊คตอตะโก โดยใช้เครื่องเทศเป็นส่วนผสมในการปรุงรสต่างๆ เช่น ใบเมเปิ้ล , ลูกจันทน์อบเชย , น้ำผึ้ง รสชาติตอนดื่มจะรู้สึกว่ารัมออกแนวครีม จะได้ลิ้มรสของวนิลา คาราเมล และน้ำเชื่อมเมเปิ้ล มีความเผ็ดร้อนตามสไตล์ Spiced เป็นอย่างดีกับเปลือกส้มบางอบเชย จะทำให้ร้อนเพดานปากนิดๆ นิยมดื่มผสมกับ โค้ก จะทำให้รสชาติกลมกล่อม หวาน หอม นุ่มลื่น

ทั้งนี้สำหรับใครก็ตามที่อยากได้เหล้านอกของแท้ราคาถูก เราแนะนำให้คุณอย่าลืมเข้าไปแวะดูที่ร้าน